ปุ๋ยชีวภาพ จากจุลินทรีย์ ละลายฟอสเฟต กับอนาคตการเกษตร ของประเทศไทย
สถาบัน วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
ธาตุอาหารฟอสฟอรัสกับความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
ปัจจุบันโลกมีประชากรประมาณ 6,000 ล้าน คน และ เป็น 9,400 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งคาดว่า จะเป็นประชากรที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ทั่วโลกสูงถึง 8,200 ล้านคน ในขณะที่ปัจจุบันนี้ ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกได้ถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตร โดยพื้นที่กว่า 2,000 ล้านเฮกตาร์ ตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและถูกทำลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะการจัดการที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมของมนุษย์ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย จึงเผชิญกับสิ่งใหญ่ที่ท้าทาย คือการเอาชนะปัญหา ความมั่นคงด้านอาหารอย่างยั่งยืน (sustainable food security) กระแสโลกในขณะนี้ จึงมุ่งเน้น การแก้ปัญหาความมั่นคงดังกล่าวด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการเพาะปลูกอย่างหนาแน่นในพื้นที่เพาะปลูกที่ดีที่สุด ใช้พื้นที่ดินที่เหลืออย่างเหมาะสมรวมทั้งการป้องกันและฟื้นฟูการเสื่อมสภาพของพื้นที่ดินและแหล่งน้ำซึ่งจำเป็นต้องใช้ระบบการเกษตรที่ หลากหลายและมีความเฉพาะต่อพื้นที่ จึงต้องมีการ พัฒนาเทคโนโลยีที่มีความจำเพาะต่อดิน เทคโนโลยีดังกล่าวมีการการจัดลำดับความสำคัญ เริ่มตั้งแต่เพิ่มพื้นที่ ที่ทำการเพาะปลูกอย่างหนาแน่น ใช้พืชที่ความแตกต่างทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย และสามารถใช้ ธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ธาตุอาหารของพืช และให้สามารถนำกลับมาใช้อีกโดยการจัดการแหล่งของธาตุอาหารในระบบการปลูกพืชด้วยวิธีผสมผสาน ทำการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยการจัดการซากพืชและ ตอซังที่เหมาะสมรวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำโดยการพัฒนาระบบชลประทานที่มีการนำน้ำมาหมุน เวียนใช้อย่างทั่วถึง ขณะนี้กลยุทธ์สำคัญของการเพาะปลูกสมัยใหม่โดยการใช้พันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง มีประสิทธิภาพในการใช้ธาตุอาหาร มีความทนทานต่อดินและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม (แห้งแล้ง ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ฯลฯ) เป็นกลยุทธ์ที่ทวีความสำคัญและมีการนำมาใช้ อย่างกว้างขวาง ในโปรแกรมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศส่วนหนึ่งได้ให้ความสำคัญครอบคลุมถึงการวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากพื้นที่ดินกรด (และส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา หรือ
สถาบัน วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
ธาตุอาหารฟอสฟอรัสกับความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
ปัจจุบันโลกมีประชากรประมาณ 6,000 ล้าน คน และ เป็น 9,400 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งคาดว่า จะเป็นประชากรที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ทั่วโลกสูงถึง 8,200 ล้านคน ในขณะที่ปัจจุบันนี้ ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกได้ถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตร โดยพื้นที่กว่า 2,000 ล้านเฮกตาร์ ตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและถูกทำลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะการจัดการที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมของมนุษย์ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย จึงเผชิญกับสิ่งใหญ่ที่ท้าทาย คือการเอาชนะปัญหา ความมั่นคงด้านอาหารอย่างยั่งยืน (sustainable food security) กระแสโลกในขณะนี้ จึงมุ่งเน้น การแก้ปัญหาความมั่นคงดังกล่าวด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการเพาะปลูกอย่างหนาแน่นในพื้นที่เพาะปลูกที่ดีที่สุด ใช้พื้นที่ดินที่เหลืออย่างเหมาะสมรวมทั้งการป้องกันและฟื้นฟูการเสื่อมสภาพของพื้นที่ดินและแหล่งน้ำซึ่งจำเป็นต้องใช้ระบบการเกษตรที่ หลากหลายและมีความเฉพาะต่อพื้นที่ จึงต้องมีการ พัฒนาเทคโนโลยีที่มีความจำเพาะต่อดิน เทคโนโลยีดังกล่าวมีการการจัดลำดับความสำคัญ เริ่มตั้งแต่เพิ่มพื้นที่ ที่ทำการเพาะปลูกอย่างหนาแน่น ใช้พืชที่ความแตกต่างทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย และสามารถใช้ ธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ธาตุอาหารของพืช และให้สามารถนำกลับมาใช้อีกโดยการจัดการแหล่งของธาตุอาหารในระบบการปลูกพืชด้วยวิธีผสมผสาน ทำการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยการจัดการซากพืชและ ตอซังที่เหมาะสมรวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำโดยการพัฒนาระบบชลประทานที่มีการนำน้ำมาหมุน เวียนใช้อย่างทั่วถึง ขณะนี้กลยุทธ์สำคัญของการเพาะปลูกสมัยใหม่โดยการใช้พันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง มีประสิทธิภาพในการใช้ธาตุอาหาร มีความทนทานต่อดินและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม (แห้งแล้ง ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ฯลฯ) เป็นกลยุทธ์ที่ทวีความสำคัญและมีการนำมาใช้ อย่างกว้างขวาง ในโปรแกรมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศส่วนหนึ่งได้ให้ความสำคัญครอบคลุมถึงการวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากพื้นที่ดินกรด (และส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา หรือ
ليست هناك تعليقات:
إرسال تعليق